ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS
Post Icon

เคล็ดลับ : การเลือกซื้อเครื่องสำอาง

Photobucket



ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเพศใดวัยใดก็ตาม มักจะนิยมใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวต่างๆ เป็นประจำอยู่เสมอใช่มั๊ยล่ะคะ เพราะนอกจากจะเพิ่มความมั่นใจ ส่งเสริมบุคลิกภาพของคุณแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพรรณของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วย ใครจะยอมล่ะ ให้คนรอบข้างทักว่า “เฮ้ย!! ทำไมวันนี้โทรมวะ หรือ ไม่เจอกันนาน แก่ลงเยอะนะ” มันช้ำ TT^TT แล้วสมัยนี้ก็มีเครื่องสำอางที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาล่อใจเราสารพัด ในเมื่อต้องใช้เครื่องสำอางอยู่ทุกวัน เราก็ควรจะรู้ถึงวิธีการเลือกเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย เพื่อให้เลือกใช้ เลือกซื้อได้อย่างไร้ปัญหา ทั้งในระยะสั้น และยาว ที่อาจจะเกิดกับใบหน้าและผิวของเรา ซึ่งมีเทคนิคในการเลือกง่ายๆ อยู่ 4 ข้อตามนี้จ้า

  1. อย่างแรกเลยต้องดูว่าเป็นเครื่องสำอางเถื่อนมั๊ย ต้องมีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เดี๋ยวนี้ อย. เค้าไม่ได้ควบคุมเฉพาะอาหารและยาแล้ว เค้าเข้ามาควบคุมเครื่องสำอางด้วย เพราะฉะนั้น ก่อนซื้อก็ส่องหาเครื่องหมาย อย. บนฉลากซะก่อน ถ้าไม่มีอย่าซื้อเด็ดขาด เพราะเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรอง อาจจะมีการผสมสารต้องห้ามที่เป็นพิษต่อร่างกาย ส่งผลร้ายแรงด้านสุขภาพ แถมยังอาจเสียโฉมได้นะคะ


  2. ต่อมาให้ดูวันหมดอายุ วันที่ผลิต โดยทั่วไปเครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิตประมาณ 3-5 ปี ก่อนซื้อคิดให้ดีว่าจะใช้หมดมั๊ย วิธีสังเกตเครื่องสำอางหมดอายุ ดูได้จากสีและกลิ่นที่เปลี่ยนไป เนื้อ เครื่องสำอางไม่เหมือนเดิม ส่วนผสมแยกชั้น ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องตัดใจทิ้งไป และอาจเขียนวันที่เราเปิดใช้ครั้งแรกเอาไว้ เพื่อจะได้รู้อายุเครื่องสำอางและเตือนความจำได้ง่ายขึ้น แล้วก็ดูส่วนผสมต่างๆ ซึ่งจะบอกได้ว่าเครื่องสำอางนั้นมีส่วนผสมที่เราแพ้หรือเปล่า เช่น บางคนที่อาจแพ้เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น นอกจากนี้อีกส่วนที่เราควรให้ความใส่ใจก็คือบริษัทผู้ผลิต หรือบริษัทนำเข้า ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ถ้าเกิดกรณีที่เราใช้เครื่องสำอางแล้วเกิดอันตรายจะได้โทร.ไปติดต่อสอบถาม หรือร้องเรียนที่บริษัทได้


  3. ต้องให้ความสำคัญกับการอ่านฉลากวิธีใช้ เพราะเครื่องสำอางแต่ละชนิด แต่ละประเภทมีวิธีการใช้ไม่เหมือนกัน เราควรรู้ว่าต้องใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ต้องใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้อย่างถูกต้อง เช่น ครีมบางตัวทาร่วมกับครีมอย่างอื่นไม่ได้ก็มีนะ ข้อสามนี่ก็เป็นจุดสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลยเหมือนกัน


  4. ทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าเครื่องสำอางจะแพง มีชื่อเสียง หรือได้รับการรับรองจากร้อยแปดสถาบัน ก็อาจจะไม่ถูกกับผิวของเราได้ แล้วอาการแพ้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราจึงควรทดสอบก่อน โดยนอกจากจะดูส่วนผสมแล้ว ยังสามารถทดสอบได้ง่ายๆ คือการทา หรือฉีด ลงบริเวณท้องแขน หลังหู หรือผิวเนื้ออ่อนๆ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น คัน เกิดรอยแดง ผื่นขึ้น บวม ระคายเคือง หรือแสบร้อน ก็ควรหลีกเลี่ยงทันที เวลาที่คิดจะลองเครื่องสำอางใหม่ๆ ก็ควรจะลองไปทีละอย่าง เวลาแพ้ก็จะได้รู้ว่าแพ้อะไร คราวหลังจะได้หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางตัวนั้น

นอกจากวิธีต่างๆ ที่แนะนำไว้ข้างต้น เพื่อการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัยนี้แล้ว แหล่งขายเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นที่เคาน์เตอร์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าต่างๆ รวมถึงตลาดนัด ในปัจจุบันเรายังพบช่องทางการขายเครื่องสำอางออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม ในความหลากหลายของแหล่งซื้อขายนี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี เราก็ควรพิจารณาแหล่งซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือ มีสถานที่ตั้งและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีบริการที่ดีทั้งในระหว่างการขายและหลังการขาย และแน่นอนว่าต้องขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ และเป็น
ตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นั้นๆอย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีพิจารณาต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราห่างไกลจากโอกาสเสี่ยงที่เราจะเจอผลิตภัณฑ์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน เกิดการแพ้ และไม่สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ขายได้ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถหาซื้อและใช้เครื่องสำอางได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัยแล้ว ขอให้สนุกกับการเลือกซื้อเครื่องสำอางนะคะ





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Post Icon

เคล็ดลับ : การเลือกซื้อเครื่องประดับ


ขอบคุณข้อมูลจาก พัชราดอทเน็ต


เราจะซื้อเครื่องประดับสักชิ้นหนึ่ง ควรจะซื้อราคาเท่าไหร่ดี?
เป็นคำถามที่สำคัญและตอบยากสำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อเครื่องประดับสักชิ้น
ราคาของเครื่องประดับนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้  
  • น้ำหนักและเปอร์เซนต์ทองที่นำมาทำเครื่องประดับชิ้นนั้น
  • น้ำหนักและคุณภาพของพลอยหรือเพชร ที่นำมาฝังบนเครื่องประดับนั้น
  • ค่าแรงในการทำเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ ซึ่งจะถูกหรือแพงนั้นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ และความ ปราณีตของช่างที่ทำเครื่องประดับชิ้นนั้น
  • ราคามาตรฐานของร้านนั้นๆ
ร้านค้าซึ่งมีแรงงานที่มีฝีมือและคุณภาพมักจะมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งจะทำให้สินค้าเครื่องประดับในร้านนั้นมี ราคาที่สูงกว่าร้านค้าทั่วไป สำหรับคนที่ต้องการจะซื้อเครื่องประดับแต่ไม่มีความรู้ในการเลือกซื้อเครื่อง ประดับนั้นจะเป็นการดี ถ้าคุณจะจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ อีกทั้งถึงแม้ว่า การต่อรองราคาจะนิยมใช้กันมากในประเทศไทย แต่ร้านค้าดังๆ มักจะมีราคาที่ กำหนดตายตัวแล้ว
เราจะรู้ได้ว่าเราซื้อเครื่องประดับในราคาที่ยุติธรรมหรือไม่คำตอบสำหรับปัญหานี้ก็คือ เราสามารถสังเกตได้จากการเปรียบเทียบราคาจากร้านแต่ละร้านที่มี สินค้าที่ถูกใจเราซึ่งมีคุณภาพเท่าๆ กัน ซึ่งร้านค้าแต่ละร้าน ก็ควรจะมีราคาที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่ จำเป็นจะต้องมีราคาเท่ากันพอดี ทั้งนี้ร้านค้าที่เราจะไปเปรียบเทียบเราจะต้องเปรียบเทียบราคา จากร้านค้าที่มีระดับ มาตรฐานเดียวกัน
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงในการซื้อเครื่องประดับก็คือ
  • น้ำหนักของทองและเปอร์เซนต์ของทองที่ใช้ในการประกอบอัญมณีชิ้นนั้น ซึ่งทองที่มี น้ำหนักมาก และเปอร์เซนต์ทองสูงจะเป็นชิ้นที่มีคุณค่าราคาสูง
  • น้ำหนัก ขนาด จำนวนและคุณภาพของอัญมณี โดยพิจารณาคุณภาพจากหลักการของ 4c คือ สี ความบริสุทธิ์ การเจียระไน และน้ำหนักกะรัตของอัญมณี ซึ่งน้ำหนักของพลอยนั้น ไม่ควรดูแต่เฉพาะน้ำหนักรวม ของเครื่องประดับทั้งชิ้น แต่ควรดูน้ำหนักของพลอย แต่ละเม็ดด้วย เช่นทับทิมเม็ดละ 1 กะรัตนั้น จะมีราคาต่างจาก ทับทิมเม็ดละ 25 ตังค์ 4 เม็ดรวมกัน
  • ฝีมือและความปราณีตของช่างทำตัวเรือนและการออกแบบ ซึ่งการเปรียบเทียบราคานั้น เราไม่เพียงแต่ เปรียบเทียบว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้มีคุณค่าเท่ากันหรือไม่ เรายังต้องคำนึงถึง ความประณีตของเครื่อง ประดับ และการออกแบบเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ ควรดูเครื่องประดับโดยรวม ว่ามีรอยตำหนิ มีรอยขีด ข่วน หรือเป็นรู เป็นตามดหรือไม่ พลอยที่ฝังอยู่ ในเครื่องประดับนั้นฝังแน่นหนาดีหรือไม่ เครื่องประดับ ชิ้นนั้นมีสัดส่วนที่ถูกต้องสวยงาม ไม่บิดเบี้ยวซึ่งคุณภาพของเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้น แสดงถึงความ เอาใจใส่ ในรายละเอียด ของขบวนการผลิตเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ จากโรงงานที่ผลิตขึ้นมา ความประณีต ของช่าง ทำเครื่องประดับก็จะสะท้อนถึงความซับซ้อนของการออกแบบ จำนวนและการจัดเรียงของ พลอยที่ประดับอยู่บนเครื่องประดับนั้นๆ
โดยสรุป ในการเลือกเครื่องประดับสักชิ้นนั้น คือดูที่องค์ประกอบ 3 อย่าง ในการเปรียบเทียบ เครื่องประดับสองชิ้น คือ ทอง, พลอย และฝีมือของช่าง
สุดท้ายที่คุณควรคำนึงถึงก็คือ คุณเป็นผู้ตัดสินใจที่ดีที่สุด เหมือนอย่างเช่นงานศิลปะ เครื่องประดับ แต่ละชิ้นควรจะตีราคาจากความสวยงาม ซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ที่เป็นมาตราฐานตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับ รสนิยม ของผู้ซื้อแต่ละคนจะเป็นคนตัดสินใจเอง สุดท้ายนี้ การซื้อเครื่องประดับสักชิ้นนั้นควรจะเรียกใบเสร็จ จากผู้ขาย ซึ่งภายในใบเสร็จนั้นควรจะมีรายละเอียดที่ถูกต้องแน่นอนของเครื่องประดับ ชิ้นนั้น เช่น จำนวนชิ้นของเครื่องประดับที่ซื้อ รวมถึง ประเภทของพลอย น้ำหนัก และจำนวนพลอย ที่ฝังอยู่บน เครื่องประดับชิ้นนั้น รวมทั้งน้ำหนัก และเปอร์เซนต์ของทองที่นำมาทำเครื่องประดับ ราคาซื้อก็ควรอยู่ ในใบเสร็จนั้นด้วย และใบเสร็จก็ควรจะลงวันที่ซื้อและลายเซนต์


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Post Icon

เคล็ดลับ : การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์




วิธีการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์

การเลือกหาเฟอร์นิเจอร์ ก่อนอื่นต้องดูว่าเราต้องการเฟอร์นิเจอร์ประเภทไหน ซึ่งในที่นี้จะแนะนำถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้วัสดุจากไม้ที่นิยมใช้คือ ไม้ยางพารา ไม้เนื้อแข็ง ไม้อัดสลับชั้น ไม้พาร์ทิเคิล ไม้M.D.F.
1. ไม้ยางพารา โดยส่วนมากจะผ่านการอบไล่ความชื้น และอาบน้ำยาป้องกันมอด, ปลวก, แมลงกินไม้ โดยมากมักนิยมนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์เตียงนอน, โต๊ะ, เก้าอี้, ของเล่นเด็ก และของใช้ในครัว และบนโต๊ะอาหาร นิยมทำสีธรรมชาติ หากทำสีย้อมต่างๆ ก็จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ชนิดนี้วัตถุดิบส่วนมากจะใช้ภายในประเทศ โดยเฉพาะแถบภาคใต้จะมีมาก กับทางแถวภาคตะวันออก เช่น ระยอง เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตภายในประเทศไทยจะประสบปัญหา ถูกสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดรวมถึงแย่งส่วนแบ่งตลาดส่งออกด้วย เนื่องจากสินค้าจากจีนมีต้นทุนต่ำ และปัจจุบันก็มีการออกแบบที่สวยงามไม่แพ้ของประเทศไทย
2.ไม้สัก นำมาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้มากกว่าไม้ชนิดอื่นๆ  เช่น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้วางทีวี ฯ โดยมากไม้สักที่จะนำมาทำเฟอร์นิเจอร์จะมีอายุมาก 50 ปีขึ้นไป คือเนื้อไม้จะออกสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มโทนสีจะระดับเดียวกัน ซึ่งเรามักจะรู้จักกันในชื่อ “สักทอง” จะมีราคาจะสูง ปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศในรูปของไม้ซุง หรือไม้แปรรูป โดยมากจากประเทศพม่า ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยจะมีไม้สักอ่อนอายุประมาณ 10 – 20 ปี ที่อนุญาตให้ภาคเอกชนปลูก และตัดได้ ซึ่งเนื้อไม้จะมีโทนออกสีน้ำตาล และติดกระพี้จะออกสีครีมทั่วทั้งเนื้อไม้ ราคาจะถูกกว่าไม้สักทอง แต่ลวดลายจะสวยสู้กันไม่ได้  ปัจจุบันนิยมทำสีย้อมให้ดูเข้มขึ้น เพื่อให้ขายได้ราคาสูง
3.ไม้อัดสลับชั้น หรือที่พูดกันทั่วๆ ไปว่า “ไม้อัด” วิธีการผลิตจะนำไม้ซุงมาปอกเป็นแผ่นไม้บาง (veneer) หรือนำไม้ซุงมาเปิดปีกไม้ออกให้เป็นสี่เหลี่ยม แล้วเข้าเครื่องฝาน จะได้แผ่นไม้บางผ่านการอบไม้ให้ความชื้นในแผ่นไม้บางเป็นไปตามที่โรงงาน กำหนด แล้วนำมาเรียงสลับเสี้ยนไม้เพื่อให้เกิดความเหนียวและแข็งแรง โดยใช้กาวอัดติดกันระหว่างแผ่น เมื่อได้ความหนาที่ต้องการแล้วนำเข้าเครื่องอัดให้กาวแห้งสนิท ขนาดทั่วไปที่ใช้กันคือ กว้าง 4 ฟุต ยาว 8 ฟุต ความหนาตั้งแต่ 3.8 – 30.0 มิลลิเมตร ส่วนแผ่นไม้บางที่ปิดแผ่นหน้าจะเห็นเป็นลวดลายไม้ชนิดต่างๆ เช่น หน้าไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ไม้ยาง ไม้บีช ไม้แอช ฯ
การนำไม้อัดมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้เกือบทุกประเภท เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง ของใช้ในบ้าน ฯ คือจะมีไม้จริงทำเป็นโครงขึ้นมาก่อนแล้วนำไม้อัดประกอบเข้าไปทั้งสองด้าน ภาษาช่างจะเรียกเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ว่า “เพลาะโครง” (Frame work) ซึ่งมองดูจะเห็นคล้ายกับผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นใช้ไม้หนา ลวดลายของไม้อัดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ขายกำหนดราคาได้ เพราะถ้าเป็นแผ่นลายไม้สัก ผู้ขายอาจจะพูดรวมไปว่าตู้ลูกนี้ทำจากไม้สัก (เพียงแต่แผ่นหน้าไม้อัดที่เป็นไม้แผ่นบางสักเท่านั้น)
4.ไม้พาร์ทิเคิลปิดผิว คือการนำเศษวัสดุที่นำไปทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว จึงนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็น แผ่นชิ้นไม้อัด ซึ่งจะมีวัสดุอยู่ประมาณ 3 ชนิด คือ
1.  ชานอ้อย ที่เข้าเครื่องหีบเอาน้ำตาลออกหมดแล้ว นำชานอ้อยมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ผ่านเครื่องอบแห้งตามที่กำหนด นำมาผสมกาวประเภทเรซินฟูมาดิฮายด์ แล้วอัดเป็นแผ่นมาตรฐานที่นิยมกันคือ กว้าง 4 ฟุต ยาว 8 ฟุต ความหนามีหลายขนาดตั้งแต่ 6 มิลลิเมตร – 32 มิลลิเมตร
2. เศษไม้ยางพารา ได้จากกิ่ง ก้าน ของต้นยางพาราที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งลำต้นจะนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ ส่วนกิ่งก้านที่ทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้ จะนำไปทำเป็นแผ่นพาร์ทิเคิล ขั้นตอนเดียวกันกับชานอ้อย
3. ไม้ยูคาลิปตัส ใช้ได้ทั้งต้น อายุตั้งแต่ 3-15 ปี นำมาสับเป็นชิ้นไม้สับ ผ่านการอบแห้ง ผสมกาว อัดเป็นแผ่นขั้นตอนเหมือนกับทั้ง 2 แบบข้างต้น
ซึ่งพาร์ทิเคิลบอร์ดนี้ จำเป็นต้องมีวัสดุอื่นปิดผิวหน้า เพราะแผ่นไม้ที่ผสมกาวอัดความหนาแน่นออกมาแล้วผิวหน้ายังหยาบไม่มีลวดลายของ ไม้ให้เห็น จึงต้องมีวัสดุปิดผิวหน้าเช่น กระดาษที่เป็นลายไม้ชนิดต่างๆ หรือประเภทแผ่นเมลามีนสีต่างๆ  เมื่อนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ ราคาจะถูกหรือแพงอยู่ที่วัสดุปิดผิวด้วยเช่นกัน
5.แผ่นใยไม้อัดหนาแน่นปานกลาง (Medium Density Fiber Board = M.D.F.) ขั้นตอนการผลิตคล้ายกับแผ่นชิ้นไม้อัด แต่เพิ่มขั้นตอนต่อจากการทำชิ้นไม้สับแล้ว จะนำชิ้นไม้ไปตุ๋นให้นิ่มแล้วนำเข้าเครื่องบดให้ละเอียดกรองเอาแต่เส้นใย (Fiber) ผ่านความร้อนอบให้เส้นใยแห้งตามที่ต้องการ เข้าเครื่องผสมกับกาว อัดออกมาเป็นแผ่นขนาดกว้าง 4 ฟุต ยาว 8 ฟุต ความหนาตั้งแต่ 3 – 32 มิลลิเมตร แผ่น M.D.F. เป็นวัสดุที่คล้ายไม้จริง สามารถใช้เครื่องมือธรรมดา เช่น เลื้อยปื้นตัด เจาะ เซาะ ไส และพ่นสีบนแผ่นไม้ได้เลย ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพมากกว่าผลิตจากไม้พาร์ทิเคิล
สุดท้ายเราจะมาดูกันถึงวิธีเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบง่ายๆ ว่า ชนิดไหนเป็นไม้จริง หรือไม้เพลาะโครง พาร์ทิเคิล หรือ M.D.F.
วิธีการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ที่ใช้วัตถุดิบหลายๆ ประเภท
1. วัตถุดิบที่ใช้ไม้อัด โดยให้ดูด้านหน้า ด้านข้าง ในส่วนที่ทำสีประเภทแลคเกอร์ ถ้าเป็นประเภทตู้โชว์ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน หรืออื่นๆ มองภายนอกมองคล้ายไม้จริง (solid wood) ให้ท่านงอนิ้วชี้แล้วทดลองเคาะไปที่ตู้โชว์หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะซื้อ เคาะดูหลายๆ ที่ ถ้าเสียงที่เคาะหนักแน่นแสดงว่าเป็นแผ่นไม้จริง หรือเป็นประเภทไม้ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ไม้อัด ถ้าเสียงดังโปร่งๆ คล้ายเสียงเคาะกลองแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตแบบเพลาะโครง ผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นจะมีน้ำหนักเบา รูปร่างสวยงาม
2. ข้อสังเกตสำหรับวัตถุดิบใช้ไม้พาร์ทิเคิล หรือไม้เอ็ม.ดี.เอฟ. สังเกตได้ตามขอบของไม้ถ้าเป็นไม้พาร์ทิเคิลจะสังเกตเห็นถึงวัสดุที่นำมาปิด ผิว ตามขอบหรือสันของไม้จะต้องมีวัสดุที่ทำเป็นแถบมาปิด ทำให้ไม่เห็นเสี้ยนไม้  ส่วนเอ็ม.ดี.เอฟ.มักจะนิยมทำสีเดียว นิยมการพ่นสีหลายเที่ยวและพ่นทับหน้าอีก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Post Icon

เคล็ดลับ : การเลือกซื้อเสื้อผ้าให้คนใส่ดูดี๊..ดี



เทคนิคการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้คนใส่ดูดี๊..ดี
By iamgirls


ผู้ คนทั้งหลายมักจะมีความชอบเสื้อผ้าที่แตกแต่ง กัน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะมีเทคนิคในการคัดเลือกการ แต่งกายอย่างไร เพื่อให้รูปแบบ สีของเสื้อผ้าเข้ากับอายุ

อาชีพ สีผิว รูปร่างของตนได้อย่างดีหรือไม่ เทคนิคและ ศิลปะในการเลือกซื้อเสื้อผ้าถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะ ชี้บ่งว่าเสื้อผ้าการแต่งกายของคนๆ หนึ่งเหมาะสมกับ ตัวเองหรือไม่


การเลือกเสื้อผ้าตามสีผิว

1. คน ที่ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง : เหมาะที่จะสวมเสื้อผ้า สีเขียวชาหรือสีเขียวแก่ ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อสีเขียว สด มิฉะนั้นจะดูไม่ทันสมัย

2. คน ที่ใบหน้าออกเหลือง : เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อ สีน้ำเงินหรือสีฟ้า ไม่เหมาะที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินแก่ สีคราม สีกรมท่า มิฉะนั้นจะทำให้ใบหน้าดูเหลืองมากยิ่งขึ้น

3. คน ที่มีสีหน้าอิดโรยผิดปกติ : เหมาะที่จะสวม เสื้อสีขาว เพื่อให้แลเสมือนสุขภาพดี ไม่เหมาะที่จะสวม เสื้อสีเทา สีม่วง จะทำให้ดูเหมือนอ่อนเพลียยิ่งขึ้น

4. คน ที่มีสีผิวขาวเหลือง : เหมาะที่จะสวมเสื้อผ้าโทน สีอบอุ่นแลดูอ่อนโยน เช่น สีชมพู สีส้ม ไม่เหมาะที่จะ สวมเสื้อผ้าสีเขียวและสีเทาอ่อน มิฉะนั้นจะดูเหมือนเป็น คน “ขี้โรค”

5. คนที่มีสีผิวคล้ำ : เหมาะที่จะสวมเสื้อผ้าสีอ่อน สว่าง เช่น สีเหลืองอ่อน สีชมพูอ่อน สีขาว เป็นต้น ซึ่ง จะสะท้อนความสว่างของสีผิว

6. คน ที่มีผิวไม่ละเอียด : เหมาะที่จะสวมเสื้อที่ทำจาก สิ่งทอที่มีหลากสี มีลายนูนเว้าบ้าง (เช่น ผ้าสักหลาดหยาบ เป็นต้น) ไม่เหมาะที่จะสวมเสื้อทำจากสิ่งทอสีอ่อนที่มี ลวดลายประณีต


การเลือกเสื้อผ้าตามรูปร่าง

1. พยายามหลีกเลี่ยงเสื้อที่มีคอเสื้อเหมือนรูปทรง ใบหน้าของคุณ

-คนหน้ากลม ต้องไม่เลือกเสื้อคอ กลม ควรเลือกใส่เสื้อคอ V คอแบะหรือคอเปิด

-หากเป็นคนหน้าเหลี่ยม ควรเลือกใส่เสื้อคอ V คอเสื้อ รูปตัว U หรือคอแบะ คอเปิด

-หากเป็นคนหน้ายาว ควรเลือกเสื้อคอกลมหรือคอตั้ง

2. ควรเลือกเสื้อที่สามารถแก้จุดด้อยของคอ

-คนคอสั้นควรเลือกเสื้อคอเปิด คอแบะหรือเสื้อคอต่ำ

-คนคอใหญ่ควรเลือกเสื้อที่มีคอแบบจีนคอตั้งหรือคอเสื้อ ที่แคบแต่ลึก และผูกผ้าพันคอ

-คนคอยาวควรเลือก คอปกตั้งและผ้าพันคอที่พันชิดกับคอ

3. การเลือกเสื้อผ้าที่ส่งเสริมจุดเด่นหลีกเลี่ยงจุด ด้อยตามสภาพรูปร่างของแต่ละคน

-คนหน้าอกใหญ่ ควรเลือกเสื้อคอเปิดหรือคอต่ำหรือเสื้อหลวมที่มีไหล่ กว้าง เพื่อให้เอวดูเล็กลง

-คนหน้าอกเล็ก ควรเลือก เสื้อที่มีคอเปิดเป็นแนวเล็กยาวและเสื้อลายขวาง

-คน เอวสั้น ควรเลือกเสื้อคลุมเอวสูงที่จับจีบ หรือกระโปรง อัดพีท

-คนสะโพกแคบ ควรเลือกกางเกงทรงหลวม หรือกางเกงที่จีบด้านบน กระโปรงจีบแบบหลวม หรือเสื้อแจ๊คเก็ตตัวหลวม

-คน สะโพกใหญ่ ควรเลือก กระโปรงหรือกางเกงที่พอดีตัวและมีส่วนโค้งส่วนเว้า เสื้อ หรือเสื้อกล้ามต้องยาวคลุมสะโพก ถ้าจะให้ดีกระโปรง ควรมีกระดุมเล็กๆ เป็นแถวยาวหรือรอยตะเข็บตรงกลาง

-คนที่ขา ใหญ่ ควรเลือกกระโปรงที่ขอบเอว กระชับแต่ด้านล่างหลวม กางเกงที่ด้านบนมีรอยจีบหรือ ขาตรงหรือจะเลือกกางเกงขาสั้นหรือกางเกงกระโปรงก็ได้ (7) คนขาสั้น ควรเลือกเสื้อที่เป็นสีเดียวกันหรือเสื้อ เอวลอย

สาว ๆ ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินพิกัดไปนิด ๆ หน่อย ๆ ชอบกลุ้มอกกลุ้มใจกันนักเชียว จะเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องใส่ชุดอะไรก็ไม่สวยนะสิ เลยทำให้แห่กันไปลดน้ำหนักกันเป็นขนานใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว คุณสาว ๆ เชื่อไหมคะ หนุ่ม ๆ น่ะ เขาไม่ชอบสาวแบนแต๊ดแต๋กันหรอก เขาบอกว่าอวบ ๆ นะ ดูดี ดีเซ็กซี่กว่าเป็นไหน ๆ ยิ่งถ้าสาวอวบคนไหน แต่ตัวได้โดนใจแล้วละก็ รับรองเรตติ้งพุ่งกระฉูด ทีนี้จะเลือกแต่งอย่างไรล่ะ ถึงจะเหมาะและเป็นการเน้นให้ร่วงอวบนั้นดูสวยสมส่วนยิ่งขึ้น มาดูกันเลยค่า

- เสื้อผ้าสีเข้ม จะทำให้ดูผอมเพรียวกว่าเดิม

- ผ้าเนื้อมันจะช่วยเน้นสัดส่วนที่ต้องการจะมิดเม้ม หากไม่อยากให้ไขมันส่วนเกินออกมาปรากฏโฉม ก็ให้หลืกเลี่ยวเสื้อผ้าแบบนี้

- กระโปรงแซ็คที่เหมาะสม ควรจะเป็นทรงเอ หรือเอไลน์ จะช่วยพรางสะโพกได้

- กระโปรงทรงเอยาวเหนือเข่า จะช่วยพรางความอวบของช่วงขา

- สวมใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันทั้งชิ้น ดีหว่าหลากสี

- คาดเข็มขัดเส้นเล็กต่ำ ๆ ใต้สะโพกจะช่วยหลบพุง

- เสื้อสูพกับรองเท้าส้นสูงช่วยให้ดูเรียว

- ผ้าเนื้อหาบอกลาไปซะ กันมาหาผ้าเนื้อบางเบาและทิ้งตัว

- เสื้อผ้าระบายฟูฟ่อง หรือลูกไม้ย้อยระย้า ม้จะต้องตาแค่ไหน ก็อย่างไปซื้อมาใส่

- สีโทนพาสเทลหวาน ๆ ก็ไม่เหมาะกับสาวเจ้าเนื้อเหมือนกัน แต่หากอดใจไม่ไหว ให้เลือกใส่ส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างใส่ทั้งชุด

- กางเกงที่มีกระเป๋าเต็มไปหมด ก็ไม่ควรใส่ เพราะจะทำให้ดูตัวพองขึ้นมามากกว่าเดิม

สุดท้ายๆ การเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยังต้องพิจารณาตามบุคลิกของแต่ละบุคคลด้วยนะ เพราะเครื่องแต่งกายที่ทันสมัย นอกจากใช้ประดับตกแต่งได้แล้ว ยัง สะท้อนถึงความมีศิลปะของแต่ละบุคคลด้วย เสื้อผ้าหรือ เครื่องแต่งกายที่ดีก็สามารถที่จะสะท้อนถึงความมีสุนทรียศิลป์เช่นกัน เมื่อมีความลงตัวในการสวมใส่เสื้อผ้าให้ สวยงามทั้งภายในและภายนอก ซึ่งก็ถือว่าคุณเป็นผู้มีศิลปะในการแต่งกาย

เทคนิคการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้คนใส่ดูดี๊..ดี



ขอขอบคุณข้อมูลจาก กู้ดเฮลท์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Post Icon

เคล็ดลับ : การเลือกซื้ออาหาร



อาหารเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในการดำรงชีวิต ใ นวันหนึ่ง ๆ คนเราต้องกินอาหารถึง 3 มื้อ  การเลือกซื้ออาหารจึงมีความจำเป็นที่ผู้ซื้อจะต้องมีหลักในการซื้อเพื่อช่วยในการตัดสินใจ จ ะทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพดี  มีประโยชน์ต่อร่างกาย 

การเลือกซื้ออาหารประเภทต่าง ๆ ควรมีหลักดังนี้


การเลือกซื้ออาหารประเภทเนื้อสัตว์           

1. เนื้อหมู เลือกที่มีสีชมพูอ่อน มันสีขาว เนื้อแน่นเวลากดเนื้อจะไม่บุ๋ม                

2. เนื้อวัว เลือกที่มีสีแดงสด มันสีเหลือง เนื้อสันในจะเป็นเนื้อที่เปื่อยที่สุด ถ้าเนื้อไม่สดจะมีสีเขียวดำๆ                

3. เนื้อควาย มีลักษณะเหนียว เส้นหยาบ สีคล้ำกว่าเนื้อวัว มีมันสีขาว                

4. ไก่ ต้องมีหนังบาง สีไม่ซีด ไม่มีกลิ่นเหม็น                

5. ปลา ควรเลือกปลาสด ผิวเป็นมัน มีเมือกใสๆ บางๆ  หุ้มทั่วตัว เกล็ดแนบกับหนัง ไส้ไม่ทะลักออกมาตาสดใสฝังในเบ้า เหงือกสีแดง ไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น                

6. กุ้ง ควรเลือกกุ้งสด หัวติดแน่น ตาใส ตัวมีสีเขียวปนน้ำเงินใส เนื้อแข็ง เปลือกสดใส ตัวโต                

7. หอย ควรเลือกปากหุบแน่น เมื่อวางทิ้งไว้ปากจะอ้าออก และหุบไว้แน่นสนิท  ก็แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นหอยที่แกะเอาเปลือกออกแล้วต้องมีสีสดใส                

8. ปู ถ้าเลือกซื้อปูทะเลจะมีสีเขียวเข้ม หนัก ตาใส กลางหน้าอกแข็งกดไม่ลง  ไม่ยุบง่าย ถ้าต้องการปูไข่เลือกตัวเมีย  ถ้าต้องการปูเนื้อเลือกตัวผู้  ปูตัวเมียฝาปิดหน้าอกจะใหญ่  ปูตัวผู้ฝาปิดหน้าอกเรียวเล็ก                  

9. ไข่    การใช้ไข่ประกอบอาหารและขนม มีทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่ควรเลือกไข่สดถ้าไข่สดผิวนอกของเปลือกไข่จะมีลักษณะเป็นสีนวล เมื่อต่อยออกใส่ภาชนะจะเห็นไข่แดงนูนตรงกลาง   

การเลือกซื้อผัก                  

ผักที่ใช้เป็นอาหาร ได้มาจากส่วนต่างๆ ของพืช ได้แก่ ใบผัก ราก ผล เมล็ด ดอก ควรเลือกผักดังนี้                    

1. เลือกซื้อตามฤดูกาล จะได้ผักที่มีคุณภาพดี ราคาถูก                
2. เลือกซื้อจากสี ขนาด รูปร่าง ความอ่อนแก่ สด ไม่ช้ำ               
3. เลือกซื้อตามชนิดของผัก เช่น    ผักที่เป็นหัว   ควรเลือกซื้อที่มีน้ำหนัก เนื้อแน่น ไม่มีตำหนิ
ผักที่เป็นฝัก    ควรเลือกฝักอ่อนๆ เช่น ถั่วฝักยาว ต้องสีเขียว แน่น ไม่พอง อ้วน
ผักที่เป็นใบ    ควรเลือกสีเขียวสด ไม่เหี่ยว ไม่มีรอยช้ำ ไม่มีหนอน ต้นใหญ่ อวบ ใบแน่นติดกับโคน
ผักที่เป็นผล    ควรเลือกสีเขียวสด ไม่เหี่ยว ไม่เสีย   

การเลือกซื้อผลไม้                  

1. ต้องดูผิวสดใหม่               
2. ขั้วหรือก้านยังเขียวและแข็ง               
3. เปลือกไม่ช้ำ ดำ               
4. ขนาดของผลสม่ำเสมอ   

การเลือกซื้ออาหารกระป๋อง                  

1. ซื้อจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้ว่าผลิตอาหารได้มาตรฐาน มีคุณภาพ               
2. ดูลักษณะกระป๋องควรใหม่ ไม่บุบ บวม รั่ว มีสนิม ชำรุด               
3. อ่านฉลากดูส่วนประกอบ ปริมาณน้ำหนัก ราคา เวลาที่ผลิต ชื่อผู้ผลิต   

การเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูป           

1. ไม่ควรมีการปลอม ปน สารที่เป็นพิษต่อร่างกาย หรือเน่าเสีย ที่ไม่เหมาะสมต่อการรับประทาน                       
2. เลือกซื้อจากผู้ที่ไว้ใจได้ว่าอาหารนั้นสะอาดปลอดภัย                       
3. เลือกอาหารที่บรรจุในภาชนะที่ห่อเรียบร้อยสะดวกในการขนส่ง นำติดตัวและง่ายในการรับประทาน                       
4. เมื่อเปิดกระป๋องแล้วอาหารนั้นมีกลิ่นรสไม่ผิดจากที่ควรจะเป็น ไม่เป็นฟอง เน่าเสีย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงที่อันตรายต่อการบริโภค   

การเลือกซื้ออาหารแช่แข็ง           

1. อาหารที่นำมาแช่แข็ง ควรเป็นของที่มีคุณภาพดี ไม่เน่า อยู่ในสภาพที่เหมาะสมและสะอาด                       
2. ห่อต้องอยู่ในสภาพดี ป้ายไม่ขาด ไม่มีรอยเปื้อนและด่างดำ                       
3. ควรบอกวิธีใช้อาหารนั้นเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้บริโภค                       
4. ไม่ควรนำอาหารมาตั้งทิ้งให้ละลายแล้วนำกลับเข้าแช่แข็งอีก เพราะจะทำให้อาหารนั้นเสียลักษณะที่ดี  สูญเสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำที่ละลายออกมา ถ้าจะใช้ควรแบ่งจากส่วนใหญ่ตามจำนวนที่ต้องการ


ขอบคุณข้อมูลจาก : ทิปฟู้ด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS